เหยื่อติ๊ก ชิโร่ เสียชีวิตตามพี่สาว พ่อเปิดใจปมเยียวยา ชี้สิ่งที่อีกฝ่ายพูดและทำ ย้อนแย้ง

          น้องจูเนียร์ เหยื่อติ๊ก ชิโร่ เมาแล้วขับ เสียชีวิตอีกคน พ่อเศร้ารับศพลูกชาย หลังเสียลูกสาวคนโตไปก่อนหน้า เผยห่วงเรื่องเยียวยา ยังไม่คืบหน้า ชี้สิ่งที่คู่กรณีพูดและทำ ย้อนแย้งหลายอย่าง



เหยื่อติ๊ก ชิโร่ เสียชีวิตตามพี่สาว พ่อเปิดใจปมเยียวยา

เหยื่อติ๊ก ชิโร่ เสียชีวิตตามพี่สาว พ่อเปิดใจปมเยียวยา
ภาพจาก เรื่องเล่าเช้านี้


          จากกรณี ติ๊ก ชิโร่ ศิลปินนักร้องชื่อดัง ขับรถตู้ชนรถจักรยานยนต์ เป็นผลให้ น.ส.เทียนพร อายุ 28 ปี เสียชีวิต และ นายจักรภัทร อายุ 21 ปี ตกสะพานสูง 10 เมตร ได้รับบาดเจ็บสาหัส ซึ่งก่อนหน้านี้ทาง ติ๊ก ชิโร่ ได้ให้สัญญาว่าจะรับผิดชอบเยียวยากับทางครอบครัวนั้น

          ล่าสุด (19 มกราคม 2568) เดลินิวส์ออนไลน์ รายงานว่า นายจักรภัทร หรือ น้องจูเนียร์ เหยื่อติ๊ก ชิโร่ เมาแล้วขับ ที่ได้รับบาดเจ็บสาเหตุ เสียชีวิตแล้วเมื่อวานนี้ (18 มกราคม) ซึ่งขณะนี้คุณพ่อเดินทางมาทำเรื่องรับร่างของลูกชายไปประกอบพิธีทางศาสนา หลังจากที่สูญเสียลูกสาวคนโตไปก่อนหน้า

เหยื่อติ๊ก ชิโร่ เสียชีวิตตามพี่สาว พ่อเปิดใจปมเยียวยา
ภาพจาก เรื่องเล่าเช้านี้

          โดย คุณพ่อของผู้เสียชีวิต ยังเปิดใจกับผู้สื่อข่าวว่า
นับตั้งแต่ลูกชายแอตมิต ติ๊ก ชิโร่ เคยเข้ามาเยี่ยม 3 ครั้ง
และนับตั้งแต่ลูกสาวคนโตเสียชีวิต คู่กรณีได้จ่ายเงินมาจำนวน 100,000 บาท
เป็นค่าทำศพ และเงินช่วยเหลืออีก 70,000 บาท
รวมถึงในส่วนที่น้องจูเนียร์ออกจากโรงพยาบาลไปอยู่ศูนย์พักฟื้นต่อนั้น
ทางคู่กรณีก็มีการรับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง

         
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการรับผิดชอบการเยียวยา จริง ๆ
ครอบครัวเคยคุยกับฝั่งตัวแทนของติ๊ก ชิโร่ ไปเมื่อปลายเดือนตุลาคม 2567
โดยได้เรียกร้องเงินจำนวนหนึ่งไป แต่หลังจากนั้นเป็นเวลาเกือบ 3 เดือนแล้ว
ก็ยังไม่ได้มีการตอบสนองอะไรกัน เขาบอกว่ารับรู้รับทราบ
จะไปพิจารณาแล้วจะแจ้งกลับมา แต่ก็เงียบหายไป

         
กระทั่งวันที่ 13 มกราคม ทางตำรวจแจ้งว่าต้องส่งสำนวนให้อัยการแล้ว
หากไม่มีการเจรจาเรื่องนี้ก็จะสรุปสำนวนส่งอัยการแล้ว ทางติ๊ก ชิโร่
จึงส่งน้องสาวมาเป็นตัวแทนการเจรจา พร้อมแจ้งยอดเงินเยียวยาให้เราทราบ
ซึ่งน้อยกว่าที่คุยกันไว้ก่อนหน้านี้ค่อนข้างเยอะ
โดยเขาบอกว่าเป็นการเยียวยาสำหรับน้อง 2 คน
คือลูกสาวคนโตที่เสียชีวิตไปแล้ว กับลูกชายที่ขณะนั้นกำลังป่วย
แต่ไม่ได้เป็นเงินสด

          โดยทางนั้นเผยว่า
มีที่ดินอยู่ผืนหนึ่งใน จ.นครราชสีมา พร้อมบอกว่ามีมูลค่าประมาณเท่านี้
คาดว่าจะขายได้ประมาณเท่านี้ หากขายได้จะนำเงินมามอบให้
แต่ไม่รู้จะขายได้เมื่อไหร่
 
          ณ
วันนี้ ที่ลูกชายเสียแล้ว
เงื่อนไขการเยียวยาจะเปลี่ยนไหมคุณพ่อก็ยังไม่ทราบ
แต่ในสิ่งที่เขาเสนอมาเมื่อวันที่ 13 มกราคม เรารับไม่ได้
เพราะมองว่าราคาที่ดินจะเป็นไปตามที่เขาแจ้งมาหรือไม่ก็ไม่ทราบ
แล้วเขาจะขายได้เมื่อไหร่ แถมยังมีในส่วนของวงเงิน
ซึ่งตอนนั้นลูกชายไปอยู่ศูนย์พักฟื้น เราจึงทราบค่าใช้จ่ายต่อเดือนมาแล้ว
ซึ่งหากคำนวณจากวงเงินที่เขาเสนอมา คิดว่าคงดูแลลูกได้แค่ 2-3 ปี ก็หมด
ตนจึงปฏิเสธไป
 
         
สำหรับที่น้องจูเนียร์เพิ่งเสียชีวิตนั้น
คุณพ่อยังไม่ได้แจ้งให้อีกฝ่ายทราบ เพราะเพิ่งมาหาหมอฉุกเฉินเมื่อวานนี้
(18 มกราคม) และคุณพ่อก็ยังยุ่ง ๆ อยู่

 
          สำหรับเรื่องที่อยากบอกคู่กรณีคือ ในส่วนค่าเยียวยาที่ยังไม่สรุปสักที อยากให้ลองพิจารณาตรงนี้หน่อยว่ายังไงดี

         
ส่วนที่จะไปแจ้งความในวันนี้ สืบเนื่องจากแพทย์นิติเวชบอกว่า
ในเคสการเสียชีวิตที่โรงพยาบาลแบบนี้ ตามขั้นตอนต้องมีการไปแจ้งความก่อน
เพื่อจะไปตรวจสอบสาเหตุการเสียชีวิตว่าเกิดจากอะไร
เกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุครั้งที่แล้วหรือไม่
 
         
ทั้งนี้ หากดูการกระทำที่ผ่านมาของคู่กรณี เขาก็คุยดี มีการติดต่อกัน
แต่ว่าสิ่งที่พูดกับสิ่งที่กระทำ บางทีก็จะย้อนแย้งกันอยู๋เสมอ เช่น
เขาบอกว่ายินดีรับผิดชอบและดูแลทุกอย่าง ตามที่สังคมรับรู้กัน
บอกว่าจะชดเชย แต่ความเป็นจริงก็ไม่ค่อยมี บางทีหากเราไม่ทวงถามก็เงียบไป  

         
แล้วที่บอกว่ายอมรับผิด แต่ในทางกลับพบว่ายังไปยื่นสู้คดี
ไปร้องขอความเป็นธรรม พยายามทำคดีให้เป็นประมาทร่วม
ดูย้อนแย้งอยู่หลายครั้ง ทำให้กังวลว่าอาจไม่ได้รับความเป็นธรรมเช่นกัน
แต่หลังจากนี้หากเขาไม่รับผิดชอบก็คงต้องไปว่ากันในศาลตามกระบวนการ
และยินดีหาก ติ๊ก ชิโร่ จะมาร่วมงานศพลูกชาย

         
สำหรับเรื่องที่ดินที่อีกฝ่ายเสนอมานั้น เขาบอกเพียงว่าอยู่ จ.นครราชสีมา
น่าจะขายได้ประมาณเท่านั้น แล้วบอกว่าหากเราไม่อยากรอเงิน
ก็ยินดีโอนที่ดินผืนนั้นมาเป็นชื่อเรา คุณพ่อจึงส่งไลน์หาน้องสาวติ๊ก
ที่เป็นคนมาเจรจา ว่าจะโอนให้เราก็ได้ แต่ขอรายละเอียดโฉนดด้วย
แต่เขาก็ไม่อ่านไลน์ ไม่ตอบไลน์ 4-5 วัน
จนตอนนี้เราก็ยังไม่ทราบรายละเอียดของโฉนด รู้แค่อยู่จังหวัดไหน
แต่ขนาดเท่าไหร่ก็ไม่ทราบ

          ทั้งนี้ คาดว่าจะได้รับศพลูกชายประมาณ 13.00 น. ก่อนนำร่างไปตั้งทำพิธีที่วัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน

ขอบคุณข้อมูลจาก เดลินิวส์ออนไลน์

ร้านทอง เห็นลูกค้าอาการแปลก ๆ ก่อนช่วยพ้นแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอก

           เจ้าของร้านทองเอะใจ เจอลูกค้าท่าทีแปลก ๆ ไม่กล้าพูดจา ก่อนเขียนข้อความใส่กระดาษ ก่อนช่วยพ้นมิจฉาชีพหลอกได้



เจ้าของร้านทองช่วยลูกค้า โดนแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอก
ภาพจาก ข่าวช่องวัน

           วันที่ 19 มกราคม 2568 ข่าวช่อง 3  รายงานว่า น.ส.ดุจฤดี อายุ 45 ปี เจ้าของห้างทองในตลาดคิวรถ อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ เปิดเผยอุทาหรณ์เตือนภัย หลังเจอลูกค้าเข้ามาขายทองในลักษณะแปลก ๆ ก่อนจะช่วยเหลือไม่ให้ลูกค้ารายนี้ถูก แก๊งคอลเซ็นเตอร์ หลอกด้วยวิธีการแบบใหม่

           น.ส.ดุจฤดี เล่าว่า มีลูกค้าเป็นหญิง นำทองน้ำหนักประมาณบาทเศษ คิดเป็นเงินประมาณ 50,000 บาท มาขายที่ร้าน แต่ลูกค้ามีท่าทางลุกลี้ลุกลน เหมือนหวั่นวิตกอะไรบางอย่าง ไม่ยอมพูด ขอกระดาษกับปากกาจากทางร้านแล้วเขียนสื่อสารกัน ใจความที่เขียนระบุว่า “ขายทองทั้งหมดเป็นเม็ดเงินโอนเข้าบัญชีเพื่อตรวจสอบสินทรัพย์ มีไหม”

เจ้าของร้านทองช่วยลูกค้า โดนแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอก
ภาพจาก ข่าวช่องวัน

           จากนั้นตนสังเกตโทรศัพท์ของลูกค้า ลักษณะเหมือนมีสายคุยอยู่ เห็นว่ามาจาก สภ.ขอนแก่น ตนเองเริ่มเอะใจ จึงพยายามถ่วงเวลา และปฏิเสธการรับซื้อ จนเวลาผ่านไปกว่า 30 นาที สุดท้ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ยอมวางสายไป

เจ้าของร้านทองช่วยลูกค้า โดนแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอก
ภาพจาก ข่าวช่องวัน

          จากการสอบถาม
น.ส.อารี อายุ 37 ปี ลูกค้าที่เอาทองมาขาย ได้รับคำตอบว่า
มีคนโทรศัพท์มาบอกว่าติดคดี พร้อมส่งภาพหมายจับมาให้
จากนั้นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ถามว่ามีเงินในบัญชีเท่าไหร่ ผู้เสียหายบอกว่ามี
400 บาท แก๊งคอลเซ็นเตอร์บอกว่ามีทองหรือไม่ พอทราบว่ามีทอง
แก๊งคอลเซ็นเตอร์ให้นำทองทั้งหมดไปขายที่ร้าน แล้วโอนเข้าบัญชีเพื่อตรวจสอบ
ที่สำคัญห้ามบอกสามีและห้ามบอกใครเด็ดขาดแม้กระทั่งร้านทอง
ให้เขียนหนังสือสื่อสารกัน ทำให้ น.ส.อารี ไม่กล้าแม้แต่จะพูดกับร้านทอง

เจ้าของร้านทองช่วยลูกค้า โดนแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอก
ภาพจาก ข่าวช่องวัน

           สุดท้ายนี้
อยากจะฝากแจ้งเตือนคนทั่วไปว่า แก๊งคอลเซ็นเตอร์มาหลากหลายรูปแบบ
แทบจะตามไม่ทัน โดยเฉพาะคนทั่วไปที่ไม่ค่อยดูข่าวสารอาจตกเป็นเหยื่อได้

เจ้าของร้านทองช่วยลูกค้า โดนแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอก
ภาพจาก ข่าวช่องวัน

ขอบคุณข้อมูลจาก ข่าวช่อง 3

ซื้อบ้านเกือบ 10 ล้าน อยู่มา 7 ปี เพิ่งรู้ความลับ ช็อกเจ้าของเดิมยังไม่ไปไหน

          ได้เหรอ ? จ่ายเงินซื้อบ้านเกือบ 10 ล้าน อยู่มา 7 ปี ช็อกเพิ่งเจอห้องลับ แถมเจ้าของเดิมไม่หายไปไหน อ้างขายให้แค่บ้าน ไม่ได้รวมห้องใต้ดิน



ซื้อบ้านเกือบ 10 ล้าน อยู่มา 7 ปี เพิ่งรู้ความลับ
ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล

          วันที่ 18 มกราคม 2568 เว็บไซต์ CTWANT รายงานกรณีข้อพิพาทเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ในมณฑลเจียงซู ประเทศจีน ซึ่งกลายเป็นที่สนใจในขณะนี้ โดยพบว่าเมื่อ 7 ปีก่อน ชายแซ่หลี่ ได้ซื้อบ้านมือสองแห่งหนึ่งมาในราคาสูงถึง 1.98 ล้านหยวน (ราว 9.2 ล้านบาท) สถานที่ดังกล่าวตั้งอยู่ในพื้นที่ใจกลางเมือง มีระบบการคมนาคมสะดวกสบาย แถมยังตกแต่งภายในไว้อย่างดี ทำให้ครอบครัวของเขาพอใจมาก และย้ายเข้าไปอยู่บ้านหลังนี้ในไม่ช้า แต่ไม่นานมานี้เองที่เขาเพิ่งค้นพบพื้นที่ลับสุดอึ้ง ซึ่งมีสัญญาณบ่งบอกว่าเจ้าของบ้านคนเดิม น่าจะเข้ามาพักผ่อนใช้ชีวิตอยู่ในนี้เป็นครั้งคราว

          รายงานเผยว่า เป็นเวลานานถึง 7 ปี ที่นายหลี่กับครอบครัวใช้ชีวิตในบ้านหลังนี้โดยไม่เคยสำรวจบ้านให้ทั่วทุกซอกทุกมุม จนกระทั่งวันหนึ่ง ตอนที่นายหลี่กำลังจัดการของในบ้าน อยู่ ๆ ก็พบว่ามีประตูลับซ่อนอยู่ที่ผนัง บริเวณหลังช่องบันได และเมื่อเขาเปิดประตูนั้นเข้าไป ก็พบกับห้องใต้ดินที่กว้างขวางและสว่างไสว

ซื้อบ้านเกือบ 10 ล้าน อยู่มา 7 ปี เพิ่งรู้ความลับ
ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล

          การค้นพบที่ไม่คาดคิดทำให้นายหลี่แปลกใจมาก
เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีพื้นที่เช่นนี้ในบ้าน
และก็ไม่พอใจที่เจ้าของบ้านคนเก่าไม่เคยบอก นอกจากนี้
เขายังค้นพบความจริงที่น่าตระหนกว่า
ห้องใต้ดินแห่งนี้ไม่เพียงมีพื้นที่กว้างขวาง แต่ยังมีข้าวของต่าง ๆ
ติดตั้งไว้อย่างดี มีอุปกรณ์ให้ความสว่างและระบบระบายอากาศแยกจากตัวบ้าน
แถมยังมีพื้นที่บาร์เล็ก ๆ ด้วย
เห็นได้ชัดว่าถูกออกแบบมาให้เป็นพื้นที่ส่วนตัวสำหรับพักผ่อน

         
เขารู้ทันทีว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่จะมีในบ้านทั่วไป
และเจ้าของบ้านคนเดิมก็จงใจปิดบังไว้ระหว่างทำเรื่องซื้อขาย
ด้วยความสงสัยและสับสน นายหลี่จึงพยายามติดต่อไปหา นางจาง
ซึ่งเป็นเจ้าของบ้านคนเดิม

          อย่างไรก็ตาม เมื่อเผชิญกับการตั้งคำถาม นางจางได้ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา บอกว่า “คุณหลี่ สิ่งที่ฉันขายให้คุณคือบ้านก็จริง แต่ฉันขายให้คุณแค่บ้าน ไม่เคยบอกว่ารวมถึงห้องใต้ดินด้วย”
 
         
กลายเป็นว่านางจางยังคงแอบใช้ห้องใต้ดินเป็นพื้นที่พักผ่อนส่วนตัว
และไม่ยอมรวมห้องใต้ดินนี้ในสัญญาซื้อขาย นายหลี่โต้เถียงว่า
ในเมื่อเขาจ่ายเงินซื้อบ้านไปแล้ว ก็ควรได้สิทธิในห้องใต้ดินด้วย
และสุดท้ายก็ตัดสินใจใช้กฎหมายจัดการเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง
 
         
ทั้งนี้ ภายหลังจากการพิจารณาคดีในศาลหลายครั้ง ในที่สุดศาลก็มีข้อสรุปว่า
แม้ห้องใต้ดินจะไม่ถูกระบุรวมในสัญญาซื้อขายบ้าน
แต่จากโครงสร้างและสภาพของบ้าน
อาจอนุมานได้อย่างสมเหตุสมผลว่าห้องใต้ดินนี้ป็นส่วนหนึ่งของบ้านทั้งหลัง
และมีผลกระทบโดยตรงต่อมูลค่าของบ้าน
การที่เจ้าของเดิมไม่ได้แจ้งการมีอยู่ของพื้นที่นี้ระหว่างการซื้อขาย
ถือว่าละเมิดตต่อกฎหมาย เจตนาทำให้ผู้ซื้อเข้าใจผิด

         
ดังนั้น ท้ายที่สุดศาลจึงมีคำสั่งให้นางจางจ่ายเงินชดเชยแก่นายหลี่
พร้อมยืนยันว่านายหลี่คือผู้ที่มีสิทธิใช้ห้องใต้ดินดังกล่าว

ขอบคุณข้อมูลจาก CTWANT

นักสืบชู้ ชี้เป้าจุดนัดพบชู้ของสามีนอกใจ อยู่ใกล้บ้านกว่าที่คิด เจอประจำ

        นักสืบจับชู้ เผยสถานที่จับโป๊ะ ผู้ชายนอกใจมักแวะไปก่อนแอบนัดรับกิ๊ก อึ้งส่วนใหญ่แทบไม่ไกลจากบ้านเมีย



นักสืบจับชู้ ชี้เป้าจุดไหน ผู้ชายนอกใจมักแวะก่อนไปหากิ๊ก

          การนอกใจเป็นหนึ่งในปัญหาที่สร้างความแตกร้าวให้กับชีวิตคู่ ซึ่งสัญญาณของการมีมือที่สามของผู้ชายนั้น บางครั้งอาจจะมาจากกิจวัตรประจำวันที่ฝ่ายหญิงอาจไม่ทันสังเกตก็เป็นได้

          วันที่ 17 มกราคม 2568 เว็บไซต์ Ladbible รายงานว่า แรนโน นักสืบเอกชน จากคอนเนตทิคัต สหรัฐฯ ซึ่งมีประสบการณ์มากกว่า 30 ปี เปิดเผยความลับของเหล่าสามีนอกใจ พบว่าจำนวนมากต่างมีจุดนัดพบกับหญิงมือที่สาม ในสถานที่ซึ่งภรรยาอาจคาดไม่ถึง

          นักสืบชู้ เล่าช่วงหนึ่งผ่านพอสแคสต์ของ ยูทูบ Ian Bick ระบุว่า ถ้าเขาได้รับว่าจ้างจากภรรยาให้หาหลักฐานที่สามีกำลังนอกใจ เขาจะติดตามฝ่ายชายไปที่ ปั๊มน้ำมัน หรือ ร้านล้างรถ และมักจะเจอที่ร้านล้างรถอยู่เสมอ

          เมื่อถามถึงเหตุผลว่า ทำไมเหล่าสามีซุกกิ๊ก จึงมักจะไปร้านล้างรถ แรนโน มองว่า เพราะถ้าผู้ชายจะไปรับกิ๊ก พวกต้องไปทำความสะอาดรถ ดังนั้นเมื่อตามสืบเหล่าสามีแล้วพบว่าพวกเขานำรถไปล้าง ให้คิดล่วงหน้าได้เลยว่า แล้วเขาจะไปไหนต่อ ซึ่งที่น่าทึ่งคือ พวกเขาก็มักจะขับไปรับชู้จริง ๆ แทบทุกเคส

        

นักสืบจับชู้ ชี้เป้าจุดไหน ผู้ชายนอกใจมักแวะก่อนไปหากิ๊ก
ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับเนื้่อหา

          จากมุมมองของนักสืบ สำหรับผู้หญิง
พวกเธอไม่ค่อยสนใจรถมากนัก ส่วนใหญ่ก็แค่ขึ้นรถของฝ่ายชายเท่านั้น
แต่สำหรับผู้ชายแล้ว พวกเขาชอบที่จะเป็นฝ่ายขับรถ
และตัวเขาเองแทบจะไม่เคยเห็นกรณีที่ผู้ชายจะนั่งรถแล้วให้กิ๊กขับ

         
ที่น่าตกใจคือ สถานที่ซึ่งสามีนอกใจมักนัดไปรับกิ๊ก
ส่วนใหญ่จะไม่ได้ห่างจากบ้านเท่าไหร่นัก โดยแรนโน เผยว่า ใกล้มาก
บางครั้งอยู่บนถนนเส้นเดียวกันด้วยซ้ำ แต่ส่วนใหญ่มักจะอยู่ในเมืองเดียวกัน
หรือย่านใกล้ ๆ กัน และแทบทุกครั้งมักจะเกี่ยวกับเรื่องงาน

          รายงานระบุว่า ก่อนหน้านี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษากาย
เคยออกมาเตือนเกี่ยวกับสัญญาณของการโดนนอกใจ ให้สังเกตว่า
อีกฝ่ายจะตั้งรับเมื่อถูกถามเกี่ยวกับเรื่องงาน โดยมีอาการเช่น
เลี่ยงการสบตา มีความหงุดหงิดบ่อย เก็บโทรศัพท์ไว้ใกล้ตัว
และเดินเร็วผิดปกติ

         
ส่วนสาขาอาชีพที่มักจะพัวพันกับปัญหานอกใจมากที่สุด พบว่า อาชีพงานขาย
ติดอันดับต้น ๆ รวมทั้งงานด้านการศึกษา ก็พบบ่อยเช่นกัน

ขอบคุณข้อมูลจาก Ladbible

นักท่องเที่ยวต่างชาติ เสียชีวิต 2 ราย กลางเทศกาล EDM ภูเก็ต

          นักท่องเที่ยวช็อกหมดสติ เสียชีวิต 2 ราย ขณะเข้าร่วมเทศกาลดนตรี EDM ระดับโลก ที่ จ.ภูเก็ต แพทย์ยังไม่พบสาเหตุ



นักท่องเที่ยว ช็อกดับ 2 ราย กลางเทศกาลดนตรี EDM
ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล

          วันที่ 19 มกราคม 2568 เพจเฟซบุ๊ก สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว รายงานว่า พบนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติช็อกหมดสติ ขณะเข้าร่วมงานเทศกาลดนตรี Electric Daisy Carnival Thailand 2025 ณ Boat Avenue Lakefront จ.ภูเก็ต และเสียชีวิตในเวลาต่อมา ซึ่งแพทย์พยายามช่วยชีวิตที่โรงพยาบาล เบื้องต้นเหตุเกิดขึ้นในคืนที่ 2 ของการจัดงาน โดยมีผู้เสียชีวิต 2 ราย

           รายแรก เมื่อวันที่ 18 มกราคม เวลาประมาณ 21.26 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งมีผู้เสียชีวิตที่โรงพยาบาลถลาง ทราบชื่อคือ นาย ชาร์ฟาราซ มักบุล อาเหม็ด (MR.SHARFARAZ MAQBUL AHMED) อายุ 28 ปี สัญชาติแคนาดา สอบสวนเบื้องต้นทราบว่า ผู้ตายเดินทางมากับเพื่อน ๆ และเข้าพักที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ประมาณ 2 วัน โดยพักอยู่คนเดียว ในวันเกิดเหตุผู้ตายมาร่วมงานเทศกาลดนตรีดังกล่าว ก่อนเกิดอาการหมดสติ เจ้าหน้าที่พยาบาลภาคสนามนำส่งโรงพยาบาลถลาง เวลา 20.50 น. อาการไม่มีสติ แต่ยังมีชีพจร แพทย์กระตุ้นหัวใจแต่ไม่สามารถช่วยเหลือได้ เสียชีวิตเวลา 21.26 น.

           ขณะที่ผู้เสียชีวิตอีกราย ถูกส่งมาที่โรงพยาบาลถลาง ทราบชื่อคือ
นายมิน เหงียน กวาง ฟาน (MR.MINH NGUYEN QUANG PHAN) อายุ 32 ปี
สัญชาติอเมริกัน ตรวจสอบตามร่างกายไม่มีบาดแผลจากการถูกทำร้ายร่างกาย 
เบื้องต้นทราบว่า ผู้ตายเข้าร่วมงเทศกาลดนตรี ก่อนจะหมดสติขณะอยู่ในงาน
ในเวลา 23.35 น. วันที่18 มกราคม
เจ้าหน้าที่พยาบาลนำตัวส่งโรงพยาบาลในสภาพหมดสติ
แพทย์ช่วยเหลือกระตุ้นหัวใจ แต่ไม่สามารถช่วยเหลือได้ ผู้ป่วยเสียชีวิตใน
เวลา 00.30 น.วันที่ 19  มกราคม

          
ทั้ง 2 กรณี เบื้องต้นแพทย์ไม่สามารถระบุสาเหตุการเสียชีวิตที่แน่ชัดได้
ตำรวจจึงแจ้งให้แพทย์ตรวจปริมาณแอลกอฮอล์และตรวจสารเสพติดไว้ก่อน
จากนั้นส่งศพต่อไปยังแพทย์นิติเวช โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต
เพื่อชันสูตรอย่างละเอียดต่อไป ก่อนประสานสถานทูตสหรัฐฯ และแคนาดา
ติดต่อญาติเพื่อนำศพไปประกอบพิธีทางศาสนา

ขอบคุณข้อมูลจาก เฟซบุ๊ก สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว

สาวดรอปเรียน ป.เอก ผันเป็นดาว OnlyFans เต็มตัว ลาแล้วแวดวงวิชาการ สู่โลกใหม่

 
            สาวดรอปเรียน ป.เอก ผันเป็นดาว OnlyFans เต็มตัว เปิดเหตุผลเดินออกจากแวดวงวิชาการ สู่สื่อแซ่บ ๆ ทำคลิปให้ความรู้ แฝงความเพลิดเพลิน



สาวดร็อปเรียน ป.เอก ผันเป็นดาว OnlyFans
ภาพจาก X @zaradarz

             วันที่ 13 มกราคม 2568 เว็บไซต์ NDTV รายงานเรื่องราวสุดฮือฮาของ ซาร่า
ดาร์ (Zara Dar) สาวอเมริกันจากรัฐเทกซัส
ซึ่งครั้งหนึ่งเคยอุทิศตัวในด้านวิชาการ ก่อนประกาศข่าวสุดช็อก
กับการตัดสินใจเลิกเรียนปริญญาเอก ผันตัวมาเป็นดาว OnlyFans แบบเต็มตัว
ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์หนัก

             สำหรับ ซาร่า ดาร์
เป็นหญิงสาวมากความสามารถ
เธอจบการศึกษาระดับปริญญาโทษด้านวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์
และศึกษาต่อในระดับปริญญาเอก หลักสูตร STEM ที่มีการบูรณาการ 4 ศาสตร์วิชา
อย่าง วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์
นอกจากนี้เธอยังเป็นวิศวกร ยูทูบเบอร์ และแน่นอนว่าเป็นนักสร้างเนื้อหาบน
OnlyFans ด้วย

             เดิมทีเธอก็แค่ทำ OnlyFans
เป็นงานเสริมขณะเรียนปริญญาเอก ด้วยการทำคลิปสอนเนื้อหาความรู้ต่าง ๆ
เชิงวิชาการ อันเป็นสิ่งที่เธอเชี่ยวชาญ
โดยแฝงความเซ็กซี่ไว้เป็นส่วนประกอบ
เธอพยายามสร้างแรงบันดาลใจแก่ผู้คนมากมาย
แต่สุดท้ายเธอกลับพบว่าความคิดของเธอไม่สอดคล้องกับเส้นทางในแวดวงการศึกษา
รวมถึงชีวิตในองค์กรแบบเดิม ๆ ทำให้เธอตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทางของตัวเองใหม่
และทิ้งการเรียนปริญญาเอกไป

             ซาร่า เผยว่า
การตัดสินใจทิ้งปริญญาเอกไปนั้นไม่ใช่สิ่งที่เธอทำเล่น ๆ
เธอเสียน้ำตาไปมากมายกับการตัดสินใจนี้ มันเป็นเรื่องที่มีความเครียดมาก
อย่างไรก็ตาม ด้วยแรงกัดดันจากงานด้านวิชาการ
ประกอบกับความไม่มั่นคงทางการเงิน การขาดการยอมรับ
ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เธอเปลี่ยนเส้นทาง มาขอทำ OnlyFans แบบเต็มตัว

สาวดร็อปเรียน ป.เอก ผันเป็นดาว OnlyFans
ภาพจาก Instagram zara.darz

             สำหรับซาร่า
ความคิดที่ต้องมานั่งกังวลกับความไม่มั่นคงทั้งเรื่องงานและเงิน
รวมถึงเงินเดือนที่แทบไม่ขยับในองค์กรต่าง ๆ
ทำให้เธออยากหนีไปจากอนาคตเหล่านั้น ขณะที่อาชีพเสริมของเธออย่างการทำ
OnlyFans สามารถทำเงินให้เธอราว 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 34 ล้านบาท)
นับเป็นความสำเร็จที่จับต้องได้ รวมถึงยังช่วยให้เธอปลดจำนองบ้านแก่พ่อแม่
และซื้อรถใหม่ เธอจึงเลือกที่จะเดิมพันอนาคตไว้กับเส้นทางอาชีพนี้

             และด้วยงานใหม่นี้
ทำให้ซาร่ารู้สึกว่ามีอิสระมากขึ้น
เธอสามารถใช้เวลาสำรวจหัวข้อที่สนใจได้อย่างจริงจัง
โดยไม่ถูกจำกัดด้วยโครงสร้างทางวิชาการหรือองค์กร
แต่ถึงอย่างนั้นเรื่องราวของเธอกลับจุดชนวนให้เกิดการถกเถียงอย่างมาก
ระหว่างผู้สนับสนุนที่ชื่นชมในความกล้าหาญของเธอ
กับกลุ่มคนที่ตั้งคำถามถึงผลการทบจากการออกจากแวดวงวิชาการ
เพื่อไปประกอบอาชีพแบบแหวกแนว

             แต่ถึงอย่างนั้น
ซาร่าก็ยังยืนยันในเส้นทางชีวิตใหม่
ตอนนี้ตัวเธอที่ลาออกจากการศึกษาปริญญาเอก
ได้หันมาเป็นนักสร้างคอนเทนต์บนแพลตฟอร์มสำหรับผู้ใหญ่อย่างเต็มตัว
ไม่ว่าจะเป็น OnlyFans ไปจนถึง YouTube และ Pornhub อย่างไรก็ตาม
พบว่าเนื้อหาของเธอยังคงเป็นสไตล์เดิม
นั่นคือการให้ความรู้ในเชิงวิชาการแก่ผู้ที่สนใจ
บนแพลตฟอร์มที่น้อยคนจะนึกถึง

 
สาวดร็อปเรียน ป.เอก ผันเป็นดาว OnlyFans
ภาพจาก Instagram zara.darz

สาวดร็อปเรียน ป.เอก ผันเป็นดาว OnlyFans
ภาพจาก Instagram zara.darz

สาวดร็อปเรียน ป.เอก ผันเป็นดาว OnlyFans
ภาพจาก Instagram zara.darz

สาวดร็อปเรียน ป.เอก ผันเป็นดาว OnlyFans
ภาพจาก Instagram zara.darz

ขอบคุณข้อมูลจาก NDTV, Industan Times

วงแตก ครอบครัวล้อมวงโซ้ยหม้อไฟ อยู่ ๆ ระเบิด เจ็บ 6 คน ชี้เหตุเกิดจากเตา

               ครอบครัวจัดปาร์ตี้หม้อไฟส่งท้ายปี จู่ ๆ บึ้มวงแตก 6 คนบาดเจ็บ พบสาเหตุเกิดจากเตา เตือนถ้าเตามีลักษณะนี้ ควรระวัง



 เตาแม่เหล็กไฟฟ้า ระเบิด
ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล
              ในขณะที่ช่วงสิ้นปีเป็นโอกาสดี ๆ
ที่ครอบครัวและเพื่อนฝูงจะได้อยู่สังสรรค์กันพร้อมหน้า หลาย ๆ
คนอาจไปฉลองกันที่ร้านอาหาร แต่หลาย ๆ
บ้านก็คงเลือกที่จะทำอาหารกันเองแบบง่าย ๆ เลี้ยงฉลองในบรรยากาศสบาย ๆ
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ควรให้ความใส่ใจคืออุปกรณ์ที่ใช้ทำอาหาร
มิเช่นนั้นอาจเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นได้

              โดยเมื่อวันที่ 11
มกราคม 2568 เว็บไซต์ Soha
มีรายงานเคสอุทาหรณ์จากครอบครัวหนึ่งในมณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน ที่สมาชิก 4
คน จัดปาร์ตี้หม้อไฟช่วงปีใหม่ที่บ้าน พร้อมชวนเพื่อนอีก 2 คน
มาร่วมมื้ออร่อยด้วยกัน อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่คิดเลยว่าอยู่ ๆ
เตาไฟฟ้าที่ต้มหม้อไฟจะระเบิดขึ้นมา ชนิดที่ทำเอาวงแตก และทั้ง 6
คนก็ได้รับบาดเจ็บ

              รายงานชี้ว่า
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงสิ้นปี 2566
และผลการสอบสวนของทางตำรวจในเวลาต่อมา เปิดเผยว่า
สาเหตุของการระเบิดในครั้งนั้นเกิดขึ้นจากเตาแม่เหล็กไฟฟ้าที่พวกเขาใช้
โดยพบว่าเตาแม่เหล็กไฟฟ้าดังกล่าวมีรอยร้าวบริเวณพื้นผิวที่เป็นกระจก
แต่ทางครอบครัวยังใช้งานต่อ จนทำให้เกิดการระเบิดดังกล่าว
 
              ทั้งนี้
หากพื้นผิวที่เป็นกระจกของเตาแม่เหล็กไฟฟ้ามีรอยร้าว หรือรอยแตก
แนะนำว่าให้ซ่อมแซมหรือเปลี่ยนอุปกรณ์ชิ้นใหม่
เนื่องจากมีความเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายขึ้นระหว่างทำอาหาร
เนื่องจากระหว่างใช้เตา อุณหภูมิร่วมกับการสั้นของระบบไฟฟ้า
จะทำให้รอยร้าวนั้นกว้างขึ้น อีกทั้งหากมีน้ำหยดหรือกระเด็นระหว่างทำอาหาร
น้ำก็จะซึมผ่านรอยร้าวไปโดนแผงไฟฟ้าใต้กระจก
จนเกิดการช็อตหรือระเบิดขึ้นได้ ดังนั้น
หากพบว่าเตาแม่เหล็กไฟฟ้าที่ใช้มีรอยร้าวหรือได้รับความเสียหาย
ควรนำไปซ่อมหรือเปลี่ยนใหม่ เพราะอุบัติเหตุสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา

 

ขอบคุณข้อมูลจาก Soha

 

 

แสตมป์ อภิวัชร์ ดราม่า แฟนปัจจุบันคู่กรณี ลั่นแฟนไม่ใช่ซาแซง แฉโดนเมียนักร้องด่า ถูกคุกคาม

กองทัพบกไม่อยู่เฉย จ่อสอบปม แสตมป์ อภิวัชร์ – ภรรยา ถูกนายพลข่มขู่ คุกคาม

 
            กองทัพบก ไม่อยู่เฉย จ่อตรวจสอบปมนายพลข่มขู่-คุกคาม แสตมป์ อภิวัชร์ แถมมาขึ้นศาลแทนลูก ย้ำลงโทษแน่ หากยังอยู่ในราชการ



แสตมป์ อภิวัชร์

           จากปมร้อนเกี่ยวกับนักร้องดัง แสตมป์ อภิวัชร์
ออกมาเปิดใจเล่าเหตุการณ์ที่ภรรยาสาว นิว จีริสุดา ถูกกล่าวหาและคุกคาม
จากผู้ไม่หวังดี ปล่อยข่าวเท็จ บุกรุกหลังเวที สร้างเรื่องแต่งสารพัด
จนไปขึ้นศาลและชนะคดี โดยระหว่างนั้นพบว่าพ่อของคู่กรณีซึ่งเป็นทหารยศนายพล
ได้มาขึ้นศาลแทนลูก แถมมีการข่มขู่ และบุกรุกบ้านแม่นั้น

           อ่านข่าว : แสตมป์ อภิวัชร์ เปิดใจเต็ม ๆ เหตุภรรยาถูกคุกคาม ขึ้นศาลแล้วไม่จบ ซ้ำเจอนายพลข่มขู่ !

แสตมป์ อภิวัชร์
ภาพจาก SarutaTa

แสตมป์ อภิวัชร์

ภาพจาก SarutaTa

              ล่าสุด
(18 มกราคม 2568) สำนักข่าวไทย รายงานว่า พันเอก ฐิต์รัชช์ สมบัติศิริ​
โฆษกกองทัพบก​ ให้สัมภาษณ์กรณี นายอภิวัชร์ เอื้อถาวรสุข​ หรือ แสตมป์
เผยว่าถูกนายทหารชั้นพลตรีที่ จ.พิษณุโลก ข่มขู่ตนเองและภรรยา
ซึ่งไม่สามารถระบุตัวตนได้ ยืนยันว่าทางกองทัพบกจะดำเนินการตรวจสอบ
แต่อยากได้ข้อมูลเพิ่มเติมจากนายอภิวัชร์
หากเป็นเรื่องที่มีความร้ายแรงและเป็นจริง กองทัพบกจะดำเนินการต่อให้  

              หากเป็นทหารนอกประจำการ
จะถูกมองเป็นเรื่องส่วนตัวที่ต้องไปดำเนินการกันเองหรือไม่นั้น
หากฟังที่นายอภิวัชร์เผย โดยพื้นฐานแล้วตนมองว่าเป็นเรื่องส่วนตัว
แต่หากเป็นทหารที่ยังอยู่ในประจำการ
แม้เป็นเรื่องส่วนตัวแต่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม
ก็จะต้องมีการสอบสวนทางวินัยและมีบทลงโทษ

              ทั้งนี้ พันเอก ฐิต์รัชช์
ย้ำว่า หากนายอภิวัชร์ ต้องการให้กองทัพบกตรวจสอบก็ขอให้ส่งข้อมูลมา
เนื่องจากข้อมูลที่อยู่ในสาธารณะ ยังไม่มีความชัดเจน
พร้อมยืนยันว่ากองทัพบกพร้อมให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย

แสตมป์ อภิวัชร์
แสตมป์ อภิวัชร์
ภาพจาก Instagram stampapiwat
แสตมป์ อภิวัชร์
ภาพจาก Instagram stampapiwat

ขอบคุณข้อมูลจาก สำนักข่าวไทย  

คิมมินฮี ตั้งท้อง 6 เดือนกับ ฮงซังซู ผู้กำกับดัง ฝ่าดราม่าคบชู้