ย่าของเด็กชายจึงไปเก็บพืชชนิดนี้มาจากข้างทางกลับมาบ้าน จากนั้นก็ปอกแล้วนำเมล็ดของมันไปต้มทำเป็นยา ก่อนที่จะนำมันให้หลานชายดื่มเป็นเวลา 2 วันติด รวมทั้งตัวเธอเองก็ดื่มด้วย กระทั่งในวันที่ 3 ย่าสังเกตว่าหลานมีอาการผิดปกติ จึงไม่ได้ให้ดื่ม ทว่าในวันถัดมา อยู่ ๆ เด็กชายก็เกิดอาการชักรุนแรงและหมดสติ ทางครอบครัวรีบพาไปส่งโรงพยาบาล เด็กชายอยู่ในอาการโคม่าต้องรักษาในแผนกฉุกเฉิน และแพทย์ต้องช่วยปั๊มหัวใจเพื่อยื้อชีวิต
ต่อมา เด็กชายได้สติขึ้นมาในช่วงสั้น ๆ แต่เขามีอาการอ่อนเพลียอย่างมาก รวมถึงเวียนหัว และคลื่นไส้ จากนั้นไม่นานเขาก็เริ่มโคม่าอีกครั้ง และครั้งนี้อาการของเขาแย่ลงเรื่อย ๆ แพทย์ยืนยันว่า ร่างกายของเขาได้รับพิษจากพืชที่ครอบครัวของเขาต้มให้ดื่ม จนส่งผลภาวะอวัยวะภายในหลายส่วนล้มเหลว และตับวายเฉียบพลัน จำเป็นต้องส่งตัวไปยังโรงพยาบาลขนาดใหญ่เพื่อรักษา แต่อาการป่วยของเขารุนแรงมากระดับวิกฤต และมีโอกาสเสียชีวิตได้ทุกเมื่อ
หลังจากแม่ของเด็กทราบเรื่องก็ตกใจและเสียใจมาก เธอให้สัมภาษณ์กับสื่อท้องถิ่นเผยว่า “เขาอาจเกิดภาวะสมองตาย หรือเสียชีวิตได้ทุกเมื่อ อวัยวะทั้งหมดของเขาล้มเหลว ตอนนี้ลูกชายของฉันต้องพึ่งเครื่องมือและยาเพื่อประทังชีวิต” ส่วนย่าของเด็กชายก็มีอาการป่วยจากการได้รับพิษและต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเช่นกัน แต่อาการของเธอไม่ได้รุนแรงถึงชีวิต
หลังจากเรื่องราวนี้กลายเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์ในสังคม ย่าของเด็กชายถูกตำหนิต่อว่าอย่างไม่พอใจ อย่างไรก็ตาม ทางแม่ของเด็กชายไม่ถือโทษโกรธแม่ของสามี พร้อมทั้งขอให้ทุกคนหยุดด่า โดยกล่าวว่า “ย่าของเด็กทำสิ่งที่เลวร้าย แต่ด้วยความตั้งใจที่ดี ฉันจึงไม่โกรธเธอ และทุกคนควรหยุดทำร้ายเธอได้แล้ว เธอแก่แล้ว”
ตามรายงานเผยว่า พ่อแม่ของเด็กชายหย่าร้างกันมาเป็นเวลานานแล้ว และเขาอาศัยอยู่กับพ่อและยายของเขา ส่วนแม่ของเขาไปมีครอบครัวใหม่ แต่หลังจากเกิดเรื่องร้ายกับลูกชายของเธอ เธอก็ต้องการทำทุกวิธีอย่างดีที่สุดเพื่อช่วยชีวิตลูกของเธอ
สำหรับเมล็ดชังเอ๋อร์จื่อ ข้อมูลระบุว่าเป็นยาแผนจีนทั่วไป มีฤทธิ์ในการไล่ลมและความเย็น ทำให้จมูกโล่ง และขจัดความชื้นได้ แต่มีสารพิษในธรรมชาติที่ชื่อว่าอะแทรคทิโลไซด์ (Atractyloside) จำเป็นต้องผ่านกระบวนการแปรรูปและกำจัดสารพิษออกก่อน นอกจากนี้ปริมาณที่สามารถใช้ได้ยังมีข้อกำหนดที่เข้มงวดด้วย
ขอบคุณข้อมูลจาก CTWANT