ร้องแม่เครียดช็อกดับ ปมจ้างทนายทำคดี 8 ปีไร้ความคืบหน้า เพิ่งรู้คดีถูกจำหน่ายไปแล้ว เป็นลมหมดสติหน้าศาลก่อนจากไป

ภาพจาก โหนกระแส
วันที่ 10 มีนาคม ที่วัดพุทธบูชา ต.มะขามเตี้ย อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี
ซึ่งเป็นสถานที่จัดบำเพ็ญกุศลศพของ หญิง อายุ 61 ปี
โดยลูกสาวของผู้เสียชีวิต อายุ 38 ปี ออกมาร้องเรียนกับสื่อว่า
แม่ของตนเกิดอาการช็อกและเสียชีวิต เพราะเจอเหตุสะเทือนใจรุนแรง
หลังเพิ่งรู้ความจริงว่าถูกหลอกให้จ่ายเงินเรื่องคดีความมายาวนาน 8 ปี
ลูกสาวผู้เสียชีวิต เล่าว่า ช่วงปี 2558
ครอบครัวของตนมีคดีเกี่ยวกับการจัดการมรดก แม่จึงว่าจ้างทนายคนหนึ่ง
ให้ดูแลคดีเกี่ยวกับการจัดการและคัดค้านผู้จัดการมรดก โดยที่ผ่านมา
ดูเหมือนว่าคดีถูกยืดเยื้ออย่างต่อเนื่อง
มีการอ้างว่าอยู่ระหว่างส่งเรื่องให้กองปราบฯ
หรือส่งเรื่องไปตรวจพิสูจน์ทางนิติเวช เมื่อสอบถามถึงเลขคดี
ทนายกลับไม่เคยให้เลขคดี โดยทุกครั้งทนายจะอ้างเรื่องการดำเนินการทางคดี และคิดค่าใช้จ่าย ตั้งแต่ 5,000 – 10,000 บาทต่อครั้ง รวมเป็นเงินราว
60,000 – 80,000 บาท ส่วนที่ดินที่ต้องสูญเสียมีมูลค่ากว่า 6 ล้านบาท
ตั้งแต่ปี 2566 ที่ผ่านมา แม่ของตนพยายามติดตามเรื่องคดีจากทนาย
แต่กลับได้รับการบ่ายเบี่ยงมาตลอด ส่งผลให้เกิดความเครียดสะสม
จนนำไปสู่การขอคัดสำนวนคดีด้วยตนเองในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา
โดยแม่เดินทางไปที่ศาลจังหวัดเวียงสระเพื่อขอคัดสำนวนคดี
แต่กลับพบว่าคดีถูกจำหน่ายไปตั้งแต่แรก โดยที่ไม่เคยมีการแจ้งให้ทราบมาก่อน
และไม่เคยได้รับหมายเรียกไปขึ้นศาลเลยแม้แต่ครั้งเดียว
แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมา ทนายยังคงเรียกเก็บค่าใช้จ่ายต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง
เมื่อแม่ได้ทราบความจริงดังกล่าว ทำให้แม่ช็อกหมดสติบริเวณหน้าศาล
เจ้าหน้าที่จึงช่วยแจ้งกู้ภัยให้มานำตัวส่งโรงพยาบาล
แม่เข้ารับการรักษาในห้องไอซียูและเสียชีวิตในเวลา 20.53 น. ของวันที่ 9
มีนาคม ที่ผ่านมา ทั้งที่ก่อนหน้านี้แม่ไม่มีโรคประจำตัวและไม่เคยต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเลย
ลูกสาวยืนยันว่า หลังจากนี้จะร้องเรียนไปยังสภาทนายความ
และจะดำเนินเรื่องให้ถึงที่สุด
เพื่อไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นกับใครอีก
และยืนยันว่าจะไม่เผาศพแม่จนกว่าจะได้รับความเป็นธรรมอย่างที่ควรจะเป็น
รายงานระบุว่า คดีที่มีการว่าจ้างทนายดังกล่าว
เกี่ยวข้องกับที่ดินของครอบครัว
แต่มีบุคคลหนึ่งซึ่งเป็นภรรยาของญาติที่เสียชีวิต ปลอมแปลงเอกสารราชการ
โดยทำสูติบัตรปลอมของเด็กว่าเป็นลูก เพื่อรับสิทธิ์ในมรดก
โดยพบว่ามีสูติบัตรเด็กถึง 2 ใบ
ซึ่งเป็นที่มาที่ทนายอ้างว่าต้องรอผลการตรวจพิสูจน์ทางนิติเวชที่กรุงเทพฯ
และต้องส่งเรื่องไปยังกองปราบปราม
ขอบคุณข้อมูลจาก โหนกระแส