KUBET – หมอเล่านาทีผ่าคลอดตอนแผ่นดินไหว คนตื้นตัน กราบใจทีมแพทย์ ทุกนาทีคือชีวิต

         นับถือหัวใจ หมอเล่านาทีชีวิต ผ่าคลอดคนไข้ระหว่างแผ่นดินไหว ต้องย้อนไปช่วยแม้วิ่งออกจากตึกแล้ว คนซึ้งน้ำตาไหล เพราะทุกนาทีมีค่าอย่างแท้จริง



หมอเล่านาทีผ่าคลอดตอนแผ่นดินไหว
ภาพจาก เฟซบุ๊ก พบหมอเต้

          ทุก ๆ การผ่าตัดนั้นคือขั้นตอนที่มีความเสี่ยง และจะเกิดอะไรขึ้นหากต้องเจอแผ่นดินไหวขึ้นอีกระหว่างการผ่าตัด แน่นอนว่าเหตุการณ์แบบนี้ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วจึงปรากฏภาพของบุคคลากรการแพทย์ทั้งหลาย ที่ทุ่มเทกันเต็มที่เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยตรงหน้า

          ขณะที่วานนี้ (28 มีนาคม 2568) นพ.ภาคภูมิ เตชะขะวนิชกุล หรือ หมอเต้ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสูตินรีเวช ได้เล่าประสบการณ์ระทึกในการผ่าตัดทำคลอดกลางเหตุแผ่นดินไหว ผ่านเพจ “พบหมอเต้”  โดยมีข้อความดังนี้…

          “เมื่อแผ่นดินไหว…มันน่ากลัวดีครับ ใจสั่นไปหมดเลย ตึกหยุดสั่นแล้ว มือกับใจยังสั่นอยู่เลย เพราะไม่เคยเจอมาก่อน เลยอยากจะขอเล่าผ่านตัวอักษรครับ

          ประมาณ 13.00 น. ผมกำลังอยู่ในห้องประชุม ขณะที่แพทย์ประจำบ้าน ผู้ซึ่งผมเป็นที่ปรึกษา เธอกำลังนำเสนอ ผลงานโครงร่างวิจัยอย่างเข้มข้นอยู่นั้น ก็มีเสียง “ปั้ง ปั้ง ปั้ง” สัก 3-4 ครั้ง ออกจากเพดานห้องประชุม ทันใดนั้น ผมก็รู้สึกเวียนศีรษะ มีความรู้สึกโคลงเคลง จึงลุกขึ้นยืน พบว่ายืนแล้วเซเล็กน้อย

          พร้อมกันนั้น มีรุ่นพี่รีบเดินออกมาจากห้องด้านในถัดไปอีกห้องหนึ่ง พร้อมตะโกนว่า… “แผ่นดินไหว รีบออกจากตึก”… ขณะนั้น ผมและทุกคนในห้องประชุมพยายามรีบเอาตัวออกจากตึกให้เร็วที่สุด โดยรีบเดินไปที่บันไดหนีไฟ ที่เราเดินกันอยู่ทุกวี่วัน แต่วันนี้นั้น มันไม่เหมือนเดิม ผู้คนพยายามวิ่งบ้าง เดินเร็วบ้าง เกาะราวบันไดบ้าง บ้างก็ช่วยกันพยุงลงจากบันได กันอย่างเร็วที่สุดเท่าที่ตัวเองจะขยับตัวไหว

          ผมลงมาถึงชั้นล่างสุด และออกจากตึกมาได้ อาจารย์รุ่นพี่ท่านหนึ่ง ดึงแขนผมและพูดว่า “ออกไปให้ห่างจากตัวตึกนะเต้” ผมจึงรีบเดินไปให้อยู่ในที่โล่งที่สุดและไกลจากตึกที่สุด

          …เดินไปเกือบ ๆ จะถึงทางเลี้ยวออกหน้าโรงพยาบาล ก็มีโทรศัพท์เข้ามา ปลายสายเป็นอาจารย์วิสัญญีที่เคารพรักขึ้นมาบนหน้าจอมือถือ ว่ามีสายเรียกเข้า ผมรับสาย เสียงปลายสายนั้น เป็นเสียงชายหนุ่มทุ้ม ๆ ซึ่งผมเพิ่งจะพูดคุยด้วย หลังจากผ่าตัดเสร็จไปในช่วงเช้า

          เสียงในสายพูดว่า “อาจารย์เต้ ออกไปจากโรงพยาบาลแล้วหรือยังครับ รบกวนขึ้นมาช่วยผ่าตัดคลอดที่ชั้น 5 ได้ไหมครับ จะได้เสร็จไว เพราะตอนนี้ แพทย์ประจำบ้านกำลังผ่าตัดอยู่”

          ในใจก็คิดว่าเอาไงดี ภาพในหัวที่ปรากฏขึ้นคือ ภาพในข่าว ที่คนติดอยู่ภายใต้ซากตึกที่ถล่มลงมา แต่ก็คิดต่อไปอีกว่า “เอาวะ เป็นไงเป็นกัน”
 
          ผมจึงหยุดเดินและวิ่งสวนทางกลับ วิ่งไปคิดว่าเร็วกว่าตอนลงมาเสียอีก วิ่งกลับเข้าตึก ชั้น 1 เริ่มไม่มีคนแล้ว พอไปถึงบันไดหนีไฟ ผู้คน เจ้าหน้าที่และผู้ป่วย ก็กำลังทยอยออกมาจากตึก มีเสียงพูดจากผู้คนที่ผมวิ่งสวนทางไปว่า “อาจารย์เต้ไปไหน” “อาจารย์เต้ไปทางนี้” “ลงครับ ออกด้านนี้”

          พอผมขึ้นไปถึงชั้น 5 ตอนนั้น ด้านนอกห้องผ่าตัดไม่มีคนแล้ว
ผมวิ่งเข้าไปในห้องเปลี่ยนชุด หยิบเสื้อคลุม
และเดินเข้าไปยังห้องผ่าตัดห้องที่ 4
พบว่าแพทย์ประจำบ้านกำลังผ่าตัดเพื่อทำคลอดทารกอยู่
คุณพยาบาลที่รักท่านหนึ่ง เดินมาแล้วพูดว่า “เข้าเคสเลยนะคะ” ผมพยักหน้า
แล้วเข้าเคสไปช่วยผ่าตัด ขณะผ่าตัดนั้น ก็ยังมีความโคลงเคลง
และตึกยังโยกอยู่บ้างเบา ๆ

          การผ่าตัดราบรื่นดี มารดาและทารกปลอดภัย หลังจากผ่าตัดเสร็จในไม่นาน เราก็วิ่งอีกรอบเพื่อลงจากตึก

         
เมื่อวิ่งแบบช้า ๆ ลงมาตรงบันไดหนีไฟทางเดิม พบว่า
มีผู้ป่วยที่ผมเพิ่งผ่าตัดมดลูกให้กับเธอไปเมื่อเช้า
นั่งอยู่ตรงทางเชื่อมชั้น 4 เพราะญาติ ๆ ของเธอได้พยายามอุ้มเธอลงมาแต่
เพราะหลายชั้น จึงหยุดพัก

          ผมผู้ซึ่ง adrenaline
หลั่งพุ่งพล่านมาก จึงขออาสาแบกเธอขึ้นหลัง และพาเธอลงมาได้อย่างปลอดภัย
แล้วเราก็มาดูแลกันต่อด้านนอก โชคดีว่า aftershock ไม่รุนแรง
และความร่วมมือร่วมใจของคนในโรงพยาบาล มีให้กันอย่างมากมาย
เราจึงผ่านเหตุการณ์อันน่าตื่นตระหนก
ที่ไม่ค่อยจะเกิดขึ้นในเมืองไทยครั้งนี้มาได้”
 
         
พร้อมกันนั้น หมอเต้ ยังเปิดใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้นว่า “ขอบพระคุณทุกท่านครับ
เริ่มจากความร่วมแรงร่วมใจของทุกคน และความอดทนของผู้ป่วยทุกท่านครับ
ถึงผ่านกันมาได้อย่างปลอดภัย ส่วนตัวผมเอง เป็นจุดเล็ก ๆ
มากในเหตุการณ์ครั้งนี้ครับ ตอนนั้นในใจคิดว่า แพทย์ประจำบ้านเขามาเรียน
เขาควรรับความเสี่ยงแต่พอประมาณ ถ้าเขาเสี่ยง ในฐานะที่ผมเป็นคนดูแล
ก็ควรไปช่วยจัดการ และการผ่าตัดคลอดนั้น
ถ้าเริ่มไปแล้วก็ต้องรีบทำต่อจนเสร็จ เพราะอาจจะเสียเลือดมากได้
ถ้าจะกล่าวให้เห็นภาพ 1 นาที
เลือดของเราอาจจะหายไปครึ่งขวดน้ำเกลือได้เลยครับ

          ทั้งหมดนี้เลยเป็นเหตุที่ว่า ไม่ว่ายังไง ก็คงต้องกลับขึ้นไปช่วย เป็นไงเป็นกันครับ
แต่ก็ยังคิดลึก ๆ แบบประมาท ๆ นิด ๆ ว่า ถ้าตึกถล่มคงจะถล่มไปแล้ว งั้นมันไม่ถล่มละแหละ เลยฮึบแล้ววิ่งกลับครับ”

          ขณะที่ผู้คนมากมายต่างเข้ามาคอมเมนต์ แทบน้ำตาไหลเมื่ออ่านจบ
ชื่นชมในความทุ่มเทและเสียสละอย่างที่สุดของบุคคลากรทางการแพทย์และคุณหมอท่านนี้
ที่ยอมเสี่ยงชีวิตกลับไปช่วยเหลือคุณแม่กับลูก
เพราะทุกวินาทีชีวิตมีความสำคัญอย่างยิ่งจริง ๆ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *